ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

เต่าทะเล


<>
<> 
กล่าวทั่วไป
เต่าทะเลเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่เคยมีหลักฐานพบว่าอาศัยอยู่ทั่วไปมากว่า  ๑๓๐ ล้านปี นอกจากนั้นยังมีหลักฐานว่าเคยพบซากโบราณ  (Fossil)
ก่อนหน้านั้นไม่น้อยกว่า ๒๐๐ ล้านปี การแพร่กระจาย ของเต่าทะเล พบเฉพาะในเขตร้อนและเขตอบอุ่น เต่าทะเลทั่วโลกที่พบมีอยู่ ๘ ชนิดคือ
เต่ามะเฟือง ( Dermochelys - coriacea ) ,   เต่ากระ ( Erethmochelys imbricata ) ,  เต่าตนุ ( Chelonia mydas ) ,  เต่าตนุหลังแบน ( Chelonia - depressa ) ,
เต่าหัวค้อน( Caretta Caretta ) , เต่าหญ้า ( Lepidochelys olivacea ) และ เต่าหญ้า แอตแลนติก ( Lepidochelys kempii )  และเต่าดำ ( Chelonia  agassizii )


 

     ประเทศไทย  มี ๕ ชนิดที่พบ คือ เต่าตนุ เต่ากระ เต่าหญ้า เต่าหัวค้อนและเต่ามะเฟืองเต่าหัวค้อนไม่เคย พบขึ้น วางไข่ในประเทศไทยตลอดระยะเวลา  ๓๐  ปีที่ผ่านมา เพียงแต่มีรายงานพบหากินอยู่ในน่านน้ำไทย ในอดีตที่ผ่านมาเต่าทะเลถูกล่าจับไปเป็นจำนวนมากโดยเนื้อ และไข่ถูกนำไปเป็น อาหาร กระดองนำไปเป็นเครื่องประดับและเครื่องตบแต่ง , หนังถูกนำไปเป็นผลิตภัณฑ์ จำพวกเครื่องหนังต่างๆ นอกจากนั้นไขมันของเต่าทะเลยังสามารถนำไปสกัดใช้เป็นส่วนผสมของสบู่ หรือ น้ำหอมที่มีราคาอีกด้วย

     เต่าทะเลในน่านน้ำไทยที่เคยพบและรายงานไว้มีทั้งหมด ๕ ชนิด  จัดเป็น  ๒ วงศ์ (Family) วิธีการจำแนกชนิดของเต่าทะเล ใช้ลักษณะกระดอง จำนวนเกล็ดบนกระดองละจำนวนเกล็ดระหว่างจะ งอยปากกับตา

๑.วงศ์ CHELONIIDAE
เต่ากระ   Hawksbill Turtle  ( Eretmochelys imbricate )
ลักษณะเด่น : จะงอยปากค่อนข้างแหลมงุ้มคล้ายปากเหยี่ยว
เกล็ดบนส่วน หัวตอน หน้า มี ๒ คู่ เกล็ดบนกระดองแถวข้างมี จำนวน ๔
เกล็ดลักษณะเด่น ชัด คือเกล็ดบน
กระดอง มีลวดลายริ้วสีสวยงาม และลักษณะของเกล็ดซ้อน
กันเห็นได้ชัด ลักษณะค่อน ข้างคล้ายเต่าตนุ
ขนาด : โตเต็มที่ยาวประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตรน้ำหนักประมาณ๑๒๐กิโลกรัม
ขนาดโต ถึงขั้นแพร่พันธุ์ได้ประมาณ ๗๐ เซนติเมตร
อาหาร : เต่ากระอาศัยอยู่ตามแนวปะการัง โดยเฉพาะเมื่อขนาดเล็ก
จะอาศัย ตามชาย หาดน้ำตื้น กินสัตว์จำพวกฟองน้ำ หอย
และ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร
แหล่งที่พบ : แหล่งวางไข่เต่ากระในอ่าวไทย พบที่
เกาะคราม จ.ชลบุรี และพบกระจัด กระจายตามหมู่เกาะต่าง ๆ
ทางทะเลอันดามันรวมทั้งแนว หาดทราย จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต


เต่าหญ้า Olive Ridley Turtle  ( Lepodochelys olivacea )
ลักษณะเด่น : กระดองเรียบ สีเทาอมเขียว สีสันของกระดอง
ไม่สวยงามเท่า เต่ากระ และเต่าตนุ ส่วนหัวค่อนข้างโต
จะงอยปากมนกว่าเต่าตนุที่ แตกต่างกันชัดเจน คือ เกล็ดบน
ส่วนหัวตอนหน้า มีจำนวน ๒ คู่ และเกล็ดบนกระดอง แถว
ข้างมีจำนวน ๖ - ๘ แผ่นในขณะที่เต่าตนุและเต่ากระมีเพียง ๕ แผ่น
และ ลักษณะ พิเศษของเต่าหญ้า คือกระดอง ส่วนท้องแถวกลาง
( Inframarginal Scale )
มีรูสำหรับขับถ่ายหรือรูเปิดสำหรับ ประสาท รับความรู้สึก
(ยังไม่ทราบระบบการทำงานที่ชัดเจน) จำนวน ๕ คู่
ขนาด : เต่าหญ้าเป็นเต่าทะเลที่มีขนาดเล็ก
ที่สุดในจำพวกเต่าทะเล ขนาดโตเต็มที่
ประมาณ ๗๕ – ๘๐ เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ ๘๐ กิโลกรัม ขนาดโตเต็มที่สามารถแพร่พันธุ์ได้ความยาวกระดองประมาณ ๖๐ เซนติเมตร
อาหาร : เต่าหญ้ากินพวก หอย ปู ปลา
และกุ้งเป็นอาหาร จึงอาศัยอยู่ชายฝั่ง
ทะเล ทั่วไป มีจะงอยปากใหญ
่คมและแข็งแรงสำหรับกัดหอยที่มี เปลือก เป็นอาหาร
แหล่งวางไข่ : พบมากทางฝั่งทะเลอันดามัน
ตามหาดทรายฝั่งตะวันตกของ จ.ภูเก็ต พังงา
และหมู่เกาะในทะเลอันดามันไม่พบเต่าหญ้าขึ้นวางไข่ฝั่ง อ่าวไทย

เต่าหัวค้อน Loggerhead Sea Turtle  ( Caretta caretta )
ลักษณะเด่น : ลักษณะเด่นทั่วๆ ไปคล้ายเต่าหญ้า
และเต่าตนุมากต่างกันที่เกล็ดบน ส่วนหัวตอนหน้ามี
จำนวน ๒ คู่ เท่ากับเต่าหญ้าแต่เกล็ดบนกระดอง
หลังแถวข้างมีจำนวน ๕ แผ่นซึ่งต่างจากเต่าทะเล
ชนิดอื่นๆละรูปทรงของ กระดองจะเรียวเล็กลงมาทางส่วนท้าย
อาหาร : กินอาหารจำพวก หอย หอยฝาเดียว และปู เป็นอาหาร
แหล่งวางไข่ : ปัจจุบันไม่มีรายงานการพบเต่าหัวค้อนขึ้นวางไข่
ในแหล่ง วางไข่ ทะเลของไทยอีกเลยตลอดระยะเวลา ๒๐ ปี
ที่ผ่านมาซึ่งเข้าใจว่าคงจะสูญพันธุ์ไปจากน่าน น้ำไทยแล้ว

เต่าตนุ  Green Sea Turtle  ( Chelonia mydas )
ลักษณะเด่น : เกล็ดบนส่วนหัวตอนหน้า (Prefrontal Scale
) มีจำนวน ๑ คู่ เกล็ดบนกระดองแถวข้าง (Costal Scale)
จำนวน ๔ เกล็ด ลักษณะขอบของเกล็ดจะเชื่อมต่อกันไม่ซ้อน
สีสันและลวดลายสวยงามมีกระดองสีน้ำ ตาลอมเหลือง
มีลายริ้วสีจางกว่ากระจายจากส่วนกลางเกล็ด มีชื่ออีกอย่าง
หนึ่งว่า เต่าแสงอาทิตย์
ขนาด : โตเต็มที่กระดอง ประมาณ ๑๕๐ เซนติเมตร
น้ำหนักประมาณ ๒๐๐ กิโลกรัม ขนาดโตถึงแพร่พันธุ์
ความยาวประมาณ๘๐ เซนติเมตร
อาหาร : เต่าตนุเป็นเต่าชนิดเดียวที่กินพืชเป็นอาหาร
เมื่อพ้นวัยอ่อนแล้ว อาหารหลัก ได้แก่ พวกหญ้าทะเล
และสาหร่ายชนิดต่างๆ เต่าตนุในวัยอ่อน จะกิน ทั้งพืช
และเนื้อสัตว์ เป็นอาหาร
แหล่งที่พบ : แหล่งวางไข่เต่าตนุในอ่าวไทย พบที่
เกาะคราม จ.ชลบุรี และ พบประปรายทางฝั่งอันดามัน
ทางชายทะเลตะวันตกของจ.พังงาและ
จ.ภูเก็ตรวมทั้งบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน








๒.วงศ์ DERMOCHELYIDE


๒.
เต่ามะเฟือง  Leatherback Sea Turtle ( Dermochelys coriacea )  
ลักษณะเด่น : เต่ามะเฟืองแตกต่างจากเต่าทะเลชนิดอื่นอย่าง
ชัดเจนมีีขนาดใหญ่นอกจากนั้นกระดองไม่เป็นเกล็ด
มีลักษณะ เป็นแผ่นหนังหนา มีสีดำ อาจมีสีขาว
แต้มประทั่วตัวระดองเป็นสันนูนตามแนวความยาว
จากส่วน หัวถึงส่วนท้าย จำนวน ๗
สันไม่มีเกล็ดปกคลุมส่วนหัวะงอยปากบนมีลักษณะ เป็นหยัก ๓ หยัก
ขนาด : ขนาดโตเต็มที่มีความยาวกระดอง ประมาณ ๒๕๐ ซม.
น้ำหนักกว่า ๑,๐๐๐ กก. ขนาดที่พบขึ้นมาวางไข่ไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ ซม.
อาหาร : เต่ามะเฟืองอาศัยอยู่ในทะเล
เปิดกินอาหารจำพวกพืชและสัตว์ ที่ ล่องลอย ตาม
น้ำโดยอาหารหลักได้แก่ แมงกะพรุน
แหล่งวางไข่ : เต่ามะเฟือง
ปัจจุบันมีจำนวนน้อยมากพบขึ้นวางไข่บ้างบริเวณ
ทราย ฝั่งอันดามัน จ.พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะต่าง ๆ
ปัจจุบันไม่พบเต่ามะเฟือง ขึ้นวาง ไข่ในอ่าวไทย




 การสืบทอดพันธุ์ของเต่าทะเล ในแต่ละปี จะมีเต่าทะเลที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ผสมพันธุ์ตามบริเวณต่าง ๆ ในมหาสมุทร หลังจากนั้นเต่าทะเลตัวเมียจะขึ้นหาดขุดทรายวางไข่ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า เต่าทะเลทุกชนิดขึ้นมาวางไขเฉพาะเวลากลางคืน ยกเว้น Kemp's ridley เพียงชนิดเดียวที่ขึ้นมาวางไข่ตอนกลางวัน และส่วนใหญ่จะขึ้นมาวางไข่บนหาดที่ถือกำเนิด เต่าทะเลตัวเมียเมื่อขึ้นจากน้ำก็จะคลานขึ้นมาบนหาดเพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการวางไข่ แต่ถ้าพบว่า หาดนั้นมีแสงสว่างและเสียงรบกวนจะคลานกลับลงน้ำโดยไม่วางไข่ เมื่อพบจุดที่ต้องการก็จะใช้พายคู่หลังขุดหลุม จนมีลักษณะคล้ายหม้อสองหู การขุดก็จะทำอย่างระมัดระวังโดยใช้พายข้างหนึ่งโกยทรายแล้วดีดออก เมื่อทรายที่ขุดมากขึ้นก็จะใช้พายอีกข้างช่วยโกยออก ต่อจากนั้นก็จะวางไข่ ซึ่งมีลักษณะนิ่มคลุ่ม โดยเต่าแต่ละตัวสามารถที่จะขึ้นมาวางไขได้สองหรือสามครั้ง ขณะที่วางไข่ จะสังเกตเห็นว่ามีของเหลวไหลออกมาจากตา ทั้งนี้เพื่อรักษาระดับความชื่นและป้องกันทรายเข้าตา ไข่เต่าแต่ละฟองจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 ถึง 7 เซนติเมตร (1.5 - 2.5 นิ้ว) หลังจากไข่เสร็จ เรียบร้อยแล้วก็กลบหลุมและทุบทรายให้แน่น แล้วพรางหลุมโดยการกวาดทราบข้างเคียงจนสังเกตตำแหน่งได้ยาก
  ในแต่ละฤดูกาล เต่าตัวเมียจะวางไข่ทุกช่วงสัปดาห์จนกว่าจะหมดท้อง ซึ่งบางตัวอาจจะมีถึง 1,000 ฟอง โดยใช้เวลาในการขึ้นมา วางไข่บนหาด 3-8 ครั้ง แล้วจะกลับมาวางไข่อีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไป 2-4 ปี ดังนั้น จำนวนรังในแต่ละปีจึงเปลี่ยนแปลงตลอด ด้วยสาเหตุที่ปริมาณการรอดตายของลูกเต่าทะเลน้อยมาก ดังนั้น ในการวางไข่แต่ละครั้งจึงมีจำนวนมาก ถ้าหาดที่เต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ มีพื้นที่น้อย โอกาสที่ไข่เต่าทะเลจะถูกทำลายโดยน้ำท่วมหรือจากน้ำฝนจะมีมาก อุณหภูมิภายในหลุมก็มีผลกระทบต่อการฟังตัว กล่าวคือ ถ้าอุณหภูมิอยู่ในระดับปรกติ โอกาสที่ลูกเต่าทะเลจะฟังจากไข่เป็นเพศเมียทั้งหมดมีมาก ในทำนองเดียวกัน ถ้าอุณหภูมิภายในหลุม ต่ำกว่าภายนอก ลูกเต่าทะเลที่ออกจากไข่ก็จะเป็นเพศผู้ทั้งสิ้น ไข่เต่าทะเลที่รอดจากน้ำท่วมและสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ก็จะฟักออกมาเป็นตัวภายใน 60 วันพร้อมกัน เมื่อลูกเต่าทะเลออกจากไข่ก็จะคลานขึ้น ผิวทราย ก่อนจะถึงผิวหน้าทรายก็จะหยุดตรงจุดที่ลึกจากผิวประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อรอให้อุณหภูมิภายนอกต่ำจึงออกจากทราย ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นเวลากลางคืนจึงออกจากลุมแล้วคลานลงทะเลอย่างรวดเร็ว ช่วงคลานลงทะเลนี้จะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ลูกเต่าทะเลทุกตัวจะหันหัวไป ยังเส้นขอบฟ้าในทะเลที่สว่างที่สุด ถ้ามีแสงบนหาดก็จะชักจูงให้คลานเข้าหาและในที่สุดก็จะตาย มีสัตว์หลายชนิดกินลูกเต่าทะเลเป็นอาหาร เช่น ในช่วงที่คลานลงทะเลก็จะเกิดอันตรายจากนก สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์ผู้ล่าอื่นๆ รวมทั้งมนุษย์ เมื่อถึงน้ำอาจจะถูกปลาฉลามกินเป็นอาหารได้
ในสัปดาห์แรก ลูกเต่าทะเลไม่สามารถที่จะดำน้ำและใช้ชีวิตใต้ท้องทะเลได้เป็นเวลานาน และยังว่ายน้ำไม่แข็งพอที่จะหลบหลีกจากผู้ล่าได้ การหลบหลีกศัตรูในช่วงนี้จึงใช้วิธีหลบอาศัยและดำรงชีวิตตามสาหร่ายหรือพืชทะเลที่ล่องลอยในทะเลลึก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ปี ยังไม่มีผู้ใด รู้ว่าลูกเต่าทะเลใช้เวลาจนโตเต็มที่นานเท่าใด แต่ได้มีการประมาณว่าอยู่ในช่วง 8 ถึง 50 ปี เวลาอันยาวนานนี้ ทำให้มีปัญหาในการอนุรักษ์เป็น อย่างมาก จำนวนลดลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั้นเกิดจากมนุษย์และการติดอวนประมงเป็นส่วนใหญ่

<> 
<> 

1.เต่ามะเฟือง   (LEATHERBACK SEA TURTLE)   ชื่อวิทยาศาสตร์ ์ Dermochelys coriacea มีกระดองนุ่มเหมือนหนัง ขนาด 150-180 เซนติเมตร (60-70 นิ้ว) น้ำหนัก 300 ถึง 600 กิโลกรัม (700-1,300 ปอนด์) บนกระดองมีสันแนว 5 เส้น ที่แตกต่างจาก เต่าทะเลชนิดอื่น คือ ว่ายน้ำได้เป็นระยะทางไกลนับพันกิโลเมตร มีจุดสีขาวหรือสีน้ำตาลบนกระดองสีดำหรือน้ำตาลเข้ม พายหน้า ไม่มีเล็บ อาหารส่วนใหญ่เป็นพวกแมงกระพรุนหรือสาหร่าย การที่มีกระดูกหน้าอกยาวทำให้ดักแมงกระพรุนเพื่อจับเป็นอาหารได้ง่าย แหล่งที่พบมากคือบริเวณ
หาดท้ายเหมือง จังหวัดพังงา และหาดไม้ขาวจังหวัดภูเก็ต




    
  
2.เต่าตะนุ   (GREEN SEA TURTLE) ชื่อวิทยาศาสตร์ Chelonia mydas เมื่อโตเต็มที่วัดกระดองได้ 90-100 เซนติเมตร (35-43 นิ้ว) น้ำหนักประมาณ 110-180 กิโลเมตร (250-400 ปอนด์) บริเวณพายมีเล็กแหลม กระดองเป็นเกล็ดเรียงกันมีสีน้ำตาลโอลีพหรือสีดำ ส่วนใต้ท้องกระดองมีสีเหลืองหรือสีครีมอ่อน เต่าตะนุเป็นเต่าทะเลกระดองแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สด กินพืชเป็นอาหาร โดยเฉพาะพวกสาหร่าย หรือหญ้าทะเล
3.เต่ากระหรือกระ   (HAWKSBILL SEA TURTLE) ชื่อวิทยาศาสตร์ Eretmocheiys imbricata กระดองเมื่อโตเต็มที่วัดได้ 70-90 เซนติเมตร (28-36 นิ้ว) มีน้ำหนักประมาณ 35-65 กิโลเมตร (80-140 ปอนด์) ลักษณะ พิเศษ คือ ปากมีจะงอยเหมือนปากเหยี่ยว มีเล็บที่พายคู่หน้า 4 อัน และมีเกล็ดคู่หน้าสองคู่ เกล็ดซ้อนทับกันมีสีเหลือง น้ำตาล และดำอย่างสวยงาม อาหารเป็นพวกสาหร่าย หญ้าทะเล เพรียง และปลา ที่ชอบมากคือ ฟองน้ำทะเลและหอยเม่น พบมากบริเวณแนวปะการัง

4.เต้าหญ้าหรือเต่าสังกะสี (OLIVERIDLEY SEA TURTLE) ชื่อวิทยาศาสตร์ Lepidochelys loiyacea มีขนาดเล็กที่สุด อาศัยตามบริเวณชายฝั่งทะเล เมื่อโตเต็มที่กระดองมีขนาดประมาณ 60-70 เซนติเมตร (23-26 นิ้ว) น้ำหนัก 35-40 กิโลกรัม (80-90 ปอนด์) กระดองสีน้ำตาลโอลิพ เรียงกันคล้ายสังกะสี ส่วนท้องสีเหลืองออกขาว อาหารกินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น กุ้ง ปลา แมงกระพรุน ปู หอย สาหร่าย และหญ้าทะเล




 ระยะเวลาในการฟักตัว โดยทั่วไปเต่าทะเลจะฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากการวางไข่ของแม่เต่าทะเล แต่จากการศึกษาพอที่จะสรุปได้ คือ เต่ากระจะใช้เวลาในในการฟักตัวเร็วกว่าเต่าชนิดอื่น คือประมาณ 45-53 วัน ?เต่าตนุจะใช้เวลาในการฟักเป็นตัว ประมาณ 47-58 วัน ?เต่าหญ้าจะใช้เวลาในการฟักเป็นตัวประมาณ 60 วัน ?เต่ามะเฟือง ใช้เวลาในการฟักเป็นตัว ประมาณ 58-65 วัน
หลังจากที่ลูกเต่าทะเลฟักออกจากไข่จะยังไม่ออกจากหลุมทันที จนกว่า 2-3 วันผ่านไป ลูกเต่าทะเลจึงจะหันหัวขึ้นในลักษณะเตรียมโผล่พ้นพื้นทราย ตัวใดไม่สามารถโผล่พ้นทรายได้ก็จะตาย และโดยสัญชาติญาณเมื่อลูกเต่าโผล่พ้นทรายมาก็จะลงสู่ทะเลทันที ซึ่งเป็นในช่วงเวลากลางคืน จากการศึกษาลูกเต่าวัยอ่อนอายุประมาณ 2-4 สัปดาห์ พบว่าเมื่อทำการปล่อยลูกเต่าแล้ว ลูกเต่าจะเริ่มว่ายน้ำแข่งกันออกสู่ทะเลลึก แต่มีบางตัวที่ว่ายหลบซ่อนอยู่ตามโขดหินและหมู่ปะการัง และจาการศึกษายังพบอีกว่าลูกเต่าตนุที่มีอายุ ประมาณ 3 เดือนขึ้นไป ลูกเต่าจะมีกระดองที่แข็งและว่ายน้ำได้ว่องไว จะมีขนาดความยาวประมาณ 4-5 นิ้ว ซึ่งเป็นระยะที่ปลอดภัยจาการเป็นอาหารของปลาและนก นอกจากนี้เรื่องเต่าทะเลที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ลูกเต่าทะเลที่มีขนาดเล็กกว่า 1 กก. จะไม่พบเห็นอยู่ตามธรรมชาติ


เต่าได้พัฒนาสายพันธุ์โดยเป็นการวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานในยุค TRIASSIC เมื่อ 200 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นยุคของไดโนเสาร์ ตอนแรกเข้าใจว่าเต่ามีฟันแหลมคมเช่นเดียวกับฉลาม เต่าบางชนิดอาศัยในพื้นที่ที่มีน้ำ บางชนิดอาศัยเฉพาะบนบก และมีบางชนิดดำรงชีวิต เฉพาะในน้ำเท่านั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้เต่าทะเลจะดำรงชีวิตในทะเล แต่ก็ยังคงคุณลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานทั่วไป เต่าทะเลมีกระดอง เป็นเกล็ดปกคลุมร่างกาย ยกเว้นเต่ามะเฟือง ที่สิ่งห่อหุ้มร่างกาย มีลักษณะเหมือนหนังแหล่งอาศัยของเต่าทะเล จะไม่พบในบริเวณทื่อุณหภูมิ ของน้ำทะเลแตกต่างจากอุณหภูมิในร่างกายของมัน ดังนั้นจึงพบเต่าทะเลอาศัยอยู่ทั่วไปในเขตร้อยและเขตอบอุ่น เว้นเต่ามะเฟือง ที่สามารถ ปรับตัวให้ดำรงชีวิตในบริเวณน้ำเย็นได้ ข้อสรุปอีกประการหนึ่งที่เต่าทะเลยังคงคล้ายคลึงกับสัตว์เลื้อยคลาน คือ มีอายุยืนและอดอาหารได้เป็น เวลานาน ส่วนเรื่องของอายุขัยของเต่าทะเลยังไม่ทราบชัดเจน แต่คาดว่ามากกว่า 50 ปี การที่เต่าทะเลสามารถดำรงชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากการที่เต่ามีกระดองที่ช่วยในการป้องกันอวัยวะภายในได้เป็นอย่างดี เต่าทั่วไปกระดองจะเป็นรูปโคม เพื่อให้หัวและขาหดเข้าไปได้ เป็นการป้องกันอันตรายจากสัตว์อื่นที่จะทำร้าย ส่วนเต่าทะเลนั้น ไม่สามารถหดหัวและขาเข้าไปกระดองได้ เนื่องจากการที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำตลอดเวลา ทำให้กระดองได้วิวัฒนาการรูปร่างให้เหมาะสมในการว่ายน้ำ นอกจากนี้เต่าทะเลยังพัฒนา รูปร่างใหญ่กว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ทำให้ลำไส้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นการช่วยย่อยอาหารได้ดีขึ้น รวมทั้งการที่มีไขมากกว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ทำให้การดำรงพันธุ์ดีกว่า ส่วนที่เป็นขาของเต่าบกพัฒนาเป็นรูปพายแบนเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการว่ายน้ำ พายคู่หน้าใช้ในการผลักดัน และพุ้ยน้ำ ส่วนพายคู่หลังใช้เป็นเหมือนหางเสือกำหนดทิศทาง เต่าทะเลบางตัวสามารถที่จะว่ายน้ำได้เร็วถึง 35 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือสามารถที่จะ ว่ายน้ำในมหาสมุทรเป็นร้อยๆ ไมล์ การที่เท้าพัฒนาเป็นพายก็มีผลเสียที่ทำให้เคลื่อนไหวบนบกได้ช้า ซึ่งผิดแผกจากเต่าบกหรือเต่าน้ำจืดที่ยังเดิน ได้ดี ทั้งนี้ เต่าทะเลตัวเมียยังมีความจำเป็นที่จะต้องคลานขึ้นมาวางไข่บนหาดทราย เต่าทะเลที่คลานบนบกก็มีลักษณะเช่นเดียวกับสัตว์บก คือ เดินทีละข้าง ยกเว้นเต่าตะนุที่เวลาคลานจะเคลื่อนพายไปในทิศทางเดียวพร้อมกัน เต่าทะเลทุกชนิดมีการวิวัฒนาการตัวเองให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในทะเล และลดการแก่งแย่งกันเอง เช่น การกินอาหารที่แตกต่างกัน การขึ้นมาวางไข่บนหาดที่มีลักษณะและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน กระดองก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปรได้ตามสิ่งแวดล้อม เช่น เต่ากระมีสีของกระดอง เข้าสภาพของปะการัง กระดองสีเข้มของเต่าตะนุก็กลมกลืนกับแหล่งหญ้าทะเลที่หากิน เต่าหัวฆ้อนมีขากรรไกรที่เหมาะในการกินหอยและปู ปากที่แหลมคล้ายเหยี่ยวของกระก็ทำให้กินอาหารพวกฟองน้ำตามหินผาได้น้ำสะดวก

 สาเหตุการลดลง

โดยมนุษย์ • การใช้ประโยชน์จากเต่าทะเล เช่น เนื้อ ไข่ หนัง กระดอง ไขมัน • การบุกรุกแหล่งวางไข่ เพื่อใช้ประโยชน์ เช่น การท่องเที่ยว •การทำการประมงมีเต่าทะเลติดเครื่องมือประมงโดยไม่ตั้งใจ 


โดยธรรมชาติ • ถูกสัตว์ใหญ่กินเป็นอาหาร ขณะเป็นไข่หรือตัวอ่อน เช่น สุนัข • ตะกวด นก หนู ปลา ปู •สภาพแวดล้อมในทะเลเปลี่ยนไป


แนวทางในการอนุรักษ์ • ไม่ใช้ประโยชน์จากเต่าทะเล โดยไม่สนับสนุน ไม่ซื้อหรือใช้ • ผลิตภัณฑ์จากเต่าทะเล • ไม่บุกรุกแหล่งวางไข่ • ไม่ทิ้งขยะมูลฝอยลงแม่น้ำ และทะเล • ช่วยกันเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเต่าทะเล• • เข้มงวดต่อกฎหมายอนุรักษ์ และ คุ้มครองเต่าทะเล
การสำรวจหาไข่เต่า

การเก็บและการลำเลียงไข่เต่า


การเพาะฟักไข่เต่า


การอนุบาลลูกเต่าทะเลที่เกาะคราม


การเตรียมบ่อและน้ำทะเล


สาเหตุการเจ็บป่วยของลูกเต่าทะเลและการรักษา


การปล่อยลูกเต่ากลับคืนสู่ธรรมชาติ


อาหารและการกินอาหารของเต่าทะเล
เต่าทะเล เป็นสัตว์ที่กินพืชและสัตว์เป็นอาหาร ส่วนเต่าตนุวัยอ่อนจะกินพวกสัตว์เล็กๆ และเมื่อโตขึ้น จะกิน พืชเพียงอย่างเดียว ส่วนเต่ากระที่จับมากทำการเลี้ยงไว้นั้นสามารถกินสัตว์ได้ โดยธรรมชาติแล้วจะ ไม่พบสัตว์ใน กระเพาะ ของมันตากตัวอย่างที่ได้พบเต่าติดอวนและตายลง เนื่องจากคอหักเมื่อผ่าดูและตรวจ ดูที่บริเวณกระเพาะ ของมัน ปรากฏว่ามีแต่พืช เช่น สาหร่าย (Sargassum sp.) และ สาหร่ายสีเขียว (green algae) อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่พบสัตว์ในกระเพาะเต่าตนุ ซึ่งไม่เหมือนกับเต่ากระที่กินอาหารพวกสัตว์เล็กๆ เช่น แมงกะพรุน กุ้ง ปูปลา หอย และพืช รวมทั้งตะไคร่น้ำตามแนวหิน ในระหว่างเวลาในตอนกลางวันจะไม่พบเต่าทะเลในบริเวณน้ำตื้น จึงสันนิษฐานได้ว่าเต่าทะเลคงจะหา กิน ในเวลากลางคืนและช่วงเวลานั้นขึ้น แต่ในบางครั้งพบเต่าทะเลในบริเวณน้ำที่มีความลึกประมาณ 13-15 เมตรในช่วงเวลากลางวันและด้วยเต่าทะเลเป็นสัตว์ที่ใช้ปอดในการหายใจจึงทำให้บ่อยครั้งที่พบเต่าทะเลขึ้น มาหายใจบนผิวน้ำ เมื่อเต่าทะเลขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำก็จะสามารถปรับหรือลดความดันของบรรยากาศภายในได้รวด เร็ว และไม่เป็นอันตรายอันเป็นคุณสมบัติพิเศษกว่าสัตว์น้ำชนิดยกเว้นสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนำบางชนิดเท่านั้นนอก จากนี้เต่าทะเลยังมีสัญชาติญาณอีกหลายประการที่น่าสนใจเช่นการรู้ทิศทางของทะเลในการขึ้นมาวางไข่ หรือแม้แต่ลูกเต่าทะเลที่เพิ่งออกจากไข่และหลุมใหม่ๆจะมีความสามารถรู้ทิศทางในการลงสู่ทะเลได้ถูกต้องและความสามารถที่สำคัญอีกอย่างของเต่าทะเลก็คือการรู้เวลาว่าเมื่อใดเป็นเวลาน้ำขึ้นและน้ำลงซึ่งทำให้้เต่าทะเล สามารถ ระบุเวลาที่เหมาะสมได้เป็นต้น

สถานที่เต่าทะเลวางไข่ สถานที่และบริเวณที่เต่าทะเลแต่ละชนิดใช้ในการวางไข่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เต่าทะเลจะขึ้น ไปวางไข่ในบริเวณหาดทรายที่อยู่เหนือระดับน้ำขึ้น และหาดนั้นจะต้องมีลักษณะ เป็นทรายขาว และสะอาดซึ่งเต่าทะเลจะสร้างรังไข่เหนือระดับที่ขึ้นสูงสุด แต่ก็มีเต่าทะเลบางตัวที่ขึ้นวางไข่ไกลจาก ระดับน้ำขึ้นสูงสุด ถึง 200 เมตร เพศ และลักษณะของเพศในเต่าทะเล เต่าทะเลเพศผู้และเพศเมียแยกอยู่กันคนละตัว (Sex Dimorphism) และอวัยวะสืบพันธุ์จะอยู่ ภายนอกลำำตัว ที่เรียกว่า Intromittent Organ ซึ่งลักษณะเพศของเต่าทะเลจะสามารถเห็น ได้ชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเต่าทะเลเพศของเต่าทะเลจะอยู่ท้ายสุดของลำตัวมีลักษณะคล้ายหาง อวัยวะ เพศผู้จะมี ลักษณะใหญ่ ยาว และโค้งลงเล็กน้อยกว่าอวัยวะเต่าทะเลเพศเมีย ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมในการผสมพันธุ์ กระดองหนังของเพศเมียจะมีลักษณะโค้งออก ด้านข้างเล็กน้อยในเต่าทะเลบางชนิด ส่วนเต่าทะเลเพศผู้จะมี ีกระดองหลังที่นูน และมีส่วนแคบยาวกกว่าเต่าทะเลเพศเมีย ระยางค์คู่หน้าของเต่าทะเลเพศผู้จะมีลักษณะยาวกว่าเต่าทะเลเพศเมีย ลักษณะเพศของเต่าทะเลจะยังไม่ปรากฏให้เห็นชัดในระยะวันอ่อนของเต่าทะเล


การผสมพันธุ์ของเต่าทะเล การผสมพันธุ์ของเต่าทะเลเป็นการผสมพันธุ์แบบภายใน (Internal Fertilization) การผสมพันธุ์ ในแต่ละครั้งของเต่าทะเลใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และจะอยู่ในช่วงเวลาน้ำขึ้น โดยที่เต่าทะเล เพศผู้จะ ใช้อุ้งเท้า (Forelimp) ประกบจับด้านหลังของเต่าทะเลเพศเมีย หลังจาก นั้นเต่าทะเลเพศผู้ จะขึ้นคล่อมอยู่บนหลังเต่าทะเลเพศเมีย โดยใช้ระยางค์ทั้งสี่จับแน่นพร้อมกันนั้นเต่าทะเลเพศผู้และ เพศเมียจะยื่นอวัยวะเพศของทั้งสองมาพบกัน และเต่าทะเลเพศผู้ก็จะถ่ายน้ำเชื้อ เข้าสู่อวัยวะเพศเมีย เข้าสู่ท่อมดลูกแยกออกเป็นสองท่อ หลังจากนั้นอีกประมาณ 1สัปดาห์แม่เต่าตัวนั้นก็จะขึ้นมาวางไข่ อวัยวะของเต่าและเพศเมีย จะสามารถเห็นได้ชัดเจนในขณะวางไข่ ซึ่งจะมีลักษณะยื่นยาว ออกมา และจะหดเมื่อทำการวางไข่เสร็จ ตัวอย่างเช่น เต่าตนุที่ขึ้นมาวางไข่ที่หาดไม้ขาว ในคืนของ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2507 ออกไข่ 132 ฟอง และสามารถวัดอวัยวะเพศเมียได้ มีขนาดของความยาว ประมาณ 6 นิ้วฟุตเศษ อวัยวะส่วนนี้ประกอบด้วยผิวหนังที่มีความยืดหยุ่น
จำนวนไข่ของเต่าทะเล จากการศึกษาพบว่าเต่าทะเลที่มีอายุน้อยจะออกไข่ได้น้อย ส่วนเต่าทะเลที่มีอายุมากจะมี การออกไข่ได้้มากกว่า จากข้อมูลที่ทำการสำรวจที่ จังหวัดภูเก็ต พบว่าแม่เต่าทะเลวาง ไข่เฉลี่ย แล้วประมาณ 120 ฟอง ต่อ หนึ่งครั้ง และมีจำนวนมากที่สุด 226 ฟอง ต่ำสุด 3 ฟอง และบางหลุม
จำนวนไข่ของเต่าทะเล จากการศึกษาพบว่าเต่าทะเลที่มีอายุน้อยจะออกไข่ได้น้อย ส่วนเต่าทะเลที่มีอายุมากจะมี การออกไข่ได้้มากกว่า จากข้อมูลที่ทำการสำรวจที่ จังหวัดภูเก็ต พบว่าแม่เต่าทะเลวาง ไข่เฉลี่ย แล้วประมาณ 120 ฟอง ต่อ หนึ่งครั้ง และมีจำนวนมากที่สุด 226 ฟอง ต่ำสุด 3 ฟอง และบางหลุมไม่พบไข่เต่าเลย

การดูอายุของเต่า อายุของเต่าทะเลมิได้ตัดสินกันที่ขนาดตัวของเต่าทะเล แต่จะพอใช้การสังเกตจาก ในเต่าทะเลที่มีอายุมาก สีของเกล็ดจะมีสีคล้ำ และมีพวกหอยนางลม เพรียง และสิ่งแปลกปลอมเกาะติดที่กระดองหลัง และสังเกตอายุของเต่าทะเลได้จากการดูจำนวนไข่ที่เกิด ในเต่าที่มีอายุมาก ๆ อาจจะไม่สามารถออกไข่ได้เลย ส่วนในเต่าที่อายุน้อยจะสามารถออกไข่ได้ไม่มาก หรือได้จำนวนที่มาก็เป็นได้ นอกจากนี้ ขนาดของไข่ก็สามารถบอกอายุได้ ถือถ้าเป็นไข่ของเต่าทะเลที่มีอายุมากแล้ว จะมีขนาดของไข่ที่ใหญ่กว่าในแม่เต่าที่มีอายุน้อยๆ

เวลาและอาการในการวางไข่
โดยทั่วไปแม่เต่าทะเลจะขึ้นมาวางไข่ในเวลาเดือนมืด ระหว่างเวลาประมาณ 21.00-04.00 น. อาจจะช้าและเร็วกว่านี้ก็ได้ และถ้าตามปกติแม่เต่าทะเลนั้นจะขึ้นมาวางไข่หลังจากได้รับน้ำเชื้อจาก ตัวผู้ประมาณ 1สัปดาห์ และจะขึ้นมาวางไข่ประมาณ 2-4 ครั้งต่อหนึ่งปีในฤดูวางไข่ ซึ่งจะกินเวลาห่าง กัันประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจาก การวางไข่ครั้งก่อน จำนวนของไข่จะลดลงตามลำดับการวางไข่ ระยะที่มีน้ำขึ้นสูงสุดเดือนมืด ลมแรง และหาก มีฝนตกจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่แม่เต่าจะขึ้นมาวางไข่ และเมื่อขณะที่แม่เต่ากำลังวางไข่ ถ้าถูกรบกวนแม่เต่าจะไม่ยอมออกไข่เลยแม่เต่าทะเลออกไข่เป็นชุดๆ ละ 2 หรือ 4 ฟอง แม่เต่าทะเลที่ทำการวางไข่แล้ว ยังปรากฏว่ามีไข่อยู่ข้างในอีก 2-3 เท่าของไข่ที่ออกมาในครั้ง แรกจาก ผลการสำรวจไข่ภายในของเต่าทะเล (เต่าตนุ) ที่ติดอวนและคอหักตาย เมื่อทำการผ่าดูไข่ ภายในพบว่ามีไข่อ่อน ในระยะต่าง ๆ จำนวน 310 ฟอง เป็นไข่ที่ไม่มีเปลือกหุ้ม ส่วนมากประกอบ ด้วยไข่แดง มีท่อเก็บไข่ 2 ท่อ ซึ่งแต่ละ ท่อมีขนาดความยาวประมาณ 2 เ้มตร และจะมาบรรจบเป็นท่อเดียวที่ใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ึ่จาการศึกษาถึงไข่ใน ระยะต่าง ๆ พอที่สรุปได้ว่าแม่เต่าทะเลสามารถ ผลิตไข่ได้ตลอดทั้งปี แต่ในเรื่องของฤดูกาลในการวาง ไข่ยังไม่ทราบแน่ชัด หากจะต้องทำการศึกษากันต่อไป แต่ส่วนมากฤดูวางไข่ของเต่าทะเลจะขึ้นอยู่กับท้องที่ การอยู่ใน บริเวณเส้นรุ้งและความ เปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่เหมาะสม

ศัตรูของไข่และลูกเต่าทะเล
ศัตรูของไข่และลูกเต่าทะเลบนพื้นบกที่สำคัญก็มี คน สุนัขที่ใช้เท้าหน้าขุดหลุม ส่วนแรน (ตะกวดชนิดหนึ่ง) จะใช้หางขุดทรายเอาไข่และลูกเต่าทะเลวัยอ่อนมากินเป็นอาหาร และส่วนในระยะที่ลูกเต่าทะเลออกจากหลุมและลงสู่ทะเลก็อาจตกเป็นเหยื่อแก่นก ปลาใหญ่

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ตำนานป่าหิมพานต์ (Legendary of Himmaphan)

ใน สมัยก่อน เมื่อครั้งนั้นโลกยังมีลักษณะแบนคล้ายหลังเต่า มีเสาค้ำจุลโลกในยุคนั้นตั้งชี้สูงขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ พื้นโลกเต็มไปด้วยสรรพสัตว์นานาชนิด มีการเข่นฆ่ากันอย่างปกติ ไร้เมตตา ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังปกครองด้วยป่า ซึ่งเราเรียกโลกนั้นว่า โลกาหิมพานต์
ป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่มากมาย โดยมีการจัดหมวดหมู่ประเภทออกเป็นกลุ่มๆ สัตว์ ปีก สัตว์น้ำ และพวกที่อยู่บนบก ใจกลางของป่าหิมพานต์ซึ่งเข้าไปในป่าลึกนั้น มีเสาค้ำจุนโลกอยู่ พื้นของเสานั้นมีซากปลาขนาดใหญ่ล้อมพันไว้ มีชื่อว่าปลาอานนท์ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ในอดีตเคยรองรับโลกไว้ ห่างไกลออกไปไม่เท่าไหร่ มีระมาดตัวหนึ่งผู้มีพละกำลังมหาศาลที่สุดในโลกาหิมพานต์ ซึ่งไม่มีผู้ใดต่อกรเรื่องกำลังกับระมาดตัวนี้ได้ แม้แต่ พญานาคผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือพญาครุฑผู้มีอำนาจ ระมาดเหลียวมองไปพบกับเทพกินรีผู้เลอโฉม จึงนึกอยากจะเชยชม กินรีจึงรีบบินหนี ระมาดเกิดโทสะ ไล่จับ แต่กินรีมีความคล่องตัวสูงจึงหลบหลีกได้เรื่อยไป ระมาดหยิบก้อนหิน ต้นไม้ไล่ขว้าง ไล่ล่า จากแรงกำลังของระมาดทำให้สั่นสะเทือนไปทั่ว เดือดร้อน พญาครุฑทราบเรื่อง จึงเข้าขวาง ระมาด ยิ่งจับไม่ได้ก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีคนมาขัดขวาง ระมาดจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าต่อกร การต่อสู้ทำให้พื้นน้ำสั่นสะเทือน ปลาน้อยใหญ่ล้วนเดือดร้อนพญานาคจึงขึ้นไปหมายหยุด  พญาครุฑเมื่อเห็นพญานาคศัตรู ก็ตกใจนึกว่าพญานาคหมายสู้รบกับตน จึงเสียท่า ถูกระมาดพุ่งชนประทะกับพญานาค จนสิ้นชีพ แรงประทะทั้ง 3 และแรงมหาศาลของระมาดชนกับเสาค้ำจุนโลก จนเสาค้ำจุนโลกเอียงและไปกระทบกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์แตกแยกเป็น 2 โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความร้อนขึ้นเนื่องจากพระอาทิตย์แยกเป็น 2 ไม่มีกลางคืน มีแต่ท้องฟ้าลำสีส้ม น้ำระเหยแทบเหือด เหล่าสัตว์หิมพานต์จึง ได้พยายามหาทางขจัดเภทภัยครั้งนี้ กบิลปักษา ผู้มีลักษณะเซ่อซ่า จัดเป็นชนชั้นต่ำ ได้แต่เหลียวมองการประชุม เนื่องจากแอบหลงชอบกินรี นั่งแกะสลักหินรูปนางกินรีทุกเพลา พร่ำเพ้อถึงนางให้ วเนกำพู เพื่อนพี่รู้จักกันมานานและสัตว์เนรมิตที่กบิลปักษาเลี้ยง นาม มนุษาสิงห์ การประชุมไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าพันธุ์ ต่างอยากจะแสดงความสามารถ ทั้งลนลาน ทั้งตื่นตระหนก พญานาคผู้ปราดเปรื่องคิดได้ว่า ต้องทำลายเสาเพื่อที่เสา จะได้ชนพระอาทิตย์อีกดวงดีดไปไกล จึงถอดดวงอิทธิฤทธิ์แล้วซัดเข้าไปที่เสา เพื่อที่จะพังเสา แต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ นางกินรีพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายทำลายเสา แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ สิ่งมีชีวิตเริ่มสิ้นใจจากความร้อนไปเรื่อยๆ แม้แต่  มนุษาสิงห์ สัตว์เลียงของกบิลปักษาก็ใกล้จะสิ้นใจ  พญานาคจึงนึกถึงคำกล่าว ว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้นั่นย่อมเกิดจากหัวใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้า พิสูจน์ กล้าที่จะลอง แม้แต่พญานาคผู้ทรงเดช กินรีจึงเสนอตัวเข้าแลก หากมีใครผู้ใดสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้จาก ความงดงามของนาง ซึ่งเป็นที่หมายปองของทุกผู้ในป่าหิมพานต์ กลับทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น เมื่อบรรดาสัตว์ต่างเริ่มสู้รบ กับเพื่อแย่งชิงนาง กลายเป็นสงคราม กบิลปักษา ก้มหน้า มือกุมหัวใจ และมองที่มือ พร้อมกับกล่าวว่า ข้า มีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์กบิลปักษากล่าวพร้อมบินขึ้นไปบนนภา เค้าใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่าแม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ”  เมื่อ กล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี ตั้งแต่วินาทีนั้น กบิลปักษาทำให้โลกได้รู้จักคำว่า ความเสียสละ ซึ่งเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นโลกใบใหม่ และกลับกลายเป็นปกติสุข  และส่วนระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน
                       ตำนานป่าหิมพานต์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า หิมาลายานั้น เป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถานที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์

กบิลปักษา
                  กบิลปักษาเป็นสัตว์ประหลาดกึ่งนกกึ่งลิง โดยมีปีกนกติดอยู่ที่หัวไหล่ และ มีหางเหมือนนก โดยปกติระบายสีกายเป็นสีดำ ลักษณะครึ่งลิงครึ่งนกศีรษะถึงเอวเป็นลิงจากเอวลงไปเป็นนกมีปีก เป็นลิงประหลาดในเรื่องรามเกียรติ์ไม่มี เป็นสัตว์ผสมใหม่
กินนร-กินรี
                        กินรี และ กินร เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มีปีกบินได้ ตามตำนานเล่าว่าอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เชิงเขาไกรลาศ นับเป็นสัตว์ที่มีปรากฏในงานศิลปะของไทยมาก ส่วนในวรรณคดีไทยก็มีการอ้างถึงกินรีด้วยเช่นกเป็นสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายของ ทางชมพูทวีปครับ พวกสิ่งมีชีวิตแปลก มักถูกกำหนดให้อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งตำแหน่งปัจจุบันตรงกับ ป่าบริเวณเชิงเทือกเขาหิมาลัย
พญานาค
                   พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
ครุฑ
                   ครุฑ เป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สุบรรณ” ซึ่งหมายถึง “ขนวิเศษ” ครุฑ เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
ระมาด
                          คำว่า ระมาดในภาษาเขมรแปลว่าแรด ระมาดเป็นสัตว์หิมพานต์ที่ มาจากสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง เพราะระมาด หรือแรดเป็นสัตว์ ป่าหายาก ศิลปินไทยในสมัยโบราณไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ระมาดหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่วาดตามคำอธิบาย ระมาดที่ปรากฎในศิลปะไทยจึงดูคล้ายกับตัวสมเสร็จ ซึ่งมีจมูกเป็นงวงสั้นๆ ดูน่าจะเป็นพันธุ์ Malayan Tapir ที่มีอยู่ในเขตตะวันตกของประเทศไทย
วเนกำพู
                   เป็นสัตว์ผสมระหว่างลิงกับหอยครึ่งบนเป็นลิง ครึ่งล่างเป็นหอย อาศัยอยู่ในน้ำ กินผลไม้เป็นอาหาร
สิงฆ์
                                   นับได้ว่าสัตว์ในป่าหิมพานต์ส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดสิงห์ คงเป็นเพราะสิงห์เป็นสัตว์ที่ดูสง่า และน่าเกรงขาม สิงห์ในตำนานหิมพานต์สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ชนิดหลักๆ คือ ราชสีห์ และ สิงห์ผสม ราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูง ราชสีห์มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิดคือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ ส่วนสิงห์ผสมนั้นมีอยู่มากมาย โดยปกติสิงห์ผสมคือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของ ราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่นนอกเหนือจากที่มีอธิบายไว้ว่ามีกายสีม่วงอ่อน สิงฆ์มีลักษณะเหมือนราชสีห์ทั่วไป

คชสีห์
                                   คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต ์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ
สุกรนที
                           สัตว์ผสมระหว่าง หมูกับปลา ท่อนบนจนถึงเอวเป็นหมูจาเอวลงมาเป็นปลา อาศัยอยู่ในน้ำ
  หงส์
                           เป็น นกในวรรณคดีไทย มีขนสีเหลืองอร่าม เป็นนกที่สง่างามและมีความสวยงาม มีการนำความงามของหงสฺไปเปรียบกับผู้หญิง

 มัจฉามังกร
                        เป็นสัตว์ผสมระหว่างมังกรกับปลา ครึ่งบนจาถึงเอวเป็นมังกรจากเอวลงมามีร่างเป็นปลา จะอาศัยอยู่ในน้ำ
ปลาอานนท์
               ในสมัยก่อน คนมีความเชื่อกันว่า ใต้พื้นโลกลงไป มีปลาตัวขนาดใหญ่มหึมาหนุนรองรับโลกไว้ เรียกชื่อปลานั้นว่า ปลาอานนท์ เวลาที่ปลาอานนท์พลิกตัวแต่ละครั้งก็จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ปัจจุบันเราทราบแล้วว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมิใช่เพราะปลาอานนท์ แต่เป็นเพราะเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ จึงเกิดการสั่นสะเทือน
บทสนทนา

หลัง จากเหล่าสรรพสัตว์ต่างรู้ว่าจะเกิดหายนะแก่โลกที่ตนอาศัยอยู่ จึงเกิดการประชุมโดยไม่แยกแยะมิตรศัตรูขึ้น การประชุมเพื่อแก้ปัญหาในครั้งนี้ ไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าต่างต้องการที่จะแสดงความสามารถของตนให้ประจักษ์แก่สายตาของทุกตน พญานาคผู้ปราดเปรื่องจิงออกตัวหมายจะทำลายเสาค้ำจุนโลกานั้น
พญานาค :      “ข้าขอใช้ อิทธิฤทธิ์ของข้า ดวงจิตพญาสมุทร!!!”

พลัง จากดวงอิทธิฤทธิ์ของพญานาคพุ่งไปยังเสาค้ำจุนโลกาที่เอนเอียง แต่ไม่เกิดผลใดๆ  เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายจะทำลายเสาแต่ไม่เกิดผลสำเร็จแต่อย่างใดเช่นกัน   ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ต่างรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง   นางกินรีซึ่งไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆจึงพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล
กินรี : “พวกท่านจงไตร่ตรองให้ดี อย่าได้ผลีผลาม ข้าจะเล่นดนตรีให้พวกท่านผ่อนคลายเอง นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้”
กบิลปักษา :           “…”

พญานาคผู้ปราดเปรื่องจึงนึกถึงคำกล่าวว่า
พญา นาค : “สิ่งที่จะแปรเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งได้นั้น ย่อมเกิดจากหัวใจ หากแม้นผู้ใดยอมสละได้ หายนะในคราวนี้ก็คงแคล้วคลาดในที่สุด หาเช่นนั้นไม่ตัวพวกเจ้าเหล่าสรรพสัตว์คงต้องถึงกาลอวสานเป็นแน่แท้”
คชสีห์ :                   “หากต้องเสียหัวใจ ก็เท่ากับต้องสิ้นชีพไม่ใช่รึท่านพญานาค หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเป็นเป็นตนที่ไม่ใช่ก็เพียงพอแล้ว เพราะข้ายังไม่อยากวายชีวา”
พญานาค :              “ข้าคิดว่าคงต้องมีใครซักตน ยอมสละจึงจะสามารถแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้”
กบิลปักษา :           “…”
สิงห์ :                      “หากเช่นนั้นแล้ว ทำไมท่านไม่สละชีพของท่านเองล่ะ ท่านพญานาค ?”
พญานาค :              “…”
หงส์ :                      “สามหาวไปแล้วนะเจ้าสิงห์! พูดอย่างนี้เท่ากับดูหมิ่นท่านพญานาคมิใช่รึ!”
คชสีห์ :                   “นางหงส์ เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้า จะเป็นผู้ยอมสละชีพของเจ้าหรือไร”
หงส์ :                      “ข้ามิได้แปลความเยี่ยงนั้น เพียงแต่…”
สิงห์ :                      “ถ้าเช่นนั้นในขณะนี้ผู้ที่ควรแก่การเสียสละ คงต้องเป็นผู้นำของเหล่าสรรพสัตว์สัตว์ในตอนนี้มิใช่รึ”
พญา นาค :              “หากชีวิตของข้า ต้องหาไม่เหล่าสรรพสัตว์ในท้องน้ำท้องมหาสมุทรคงอยู่กันไม่ได้เป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นข้าคงไม่อาจสละได้…”
กบิลปักษา :           “…”
กินรี :                      “ข้านั่งฟังพวกท่านอยู่นาน พวกท่านทั้งหลายไม่ต้องมีผู้ใดยอมสละหรอก หากต้องมีผู้ใดยอมสละ ข้าขอยอมสละเอง ตัวข้าเป็นกินรีผู้อ่อนแอ หากหัวใจของผู้อ่อนเเออย่างข้าสามารถช่วยโลกานี้ไว้ได้ข้ายินดียอมสละให้”

ด้วยความงามของเทพกินรี ที่อยากจะหยุดหายนะในครั้งนี้ ทำให้สถานการณ์แย่ลง

กบิลปักษา :           “!!!”
คชสีห์ :                   “อะไรกัน! เทพกินรี เจ้างดงามเช่นนี้ข้าคงยอมไม่ได้หรอกให้เจ้าต้องพลีชีพด้วยกาลนี้”
พญานาค :              “ข้าเสียดายความงามของเจ้านะ เทพกินรี เจ้ามาเป็นของข้าดีกว่า ก่อนที่โลกานี้จะสูญสิ้น ข้าขอครอบครองตัวเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
สิงห์ :                      “ท่านพญานาคทำเช่นนี้ หมายจะไม่รับผิดชอบเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นสินะ หากใครที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เทพกินรี ก็ต้องเป็นข้าสิ”
พญานาค :              “เจ้าคิดจะขวางข้ารึเจ้าสิงห์”
สิงห์ :                      “ใช่แล้ว ไหนๆโลกาแห่งนี้ก้อจะสูญสิ้นอยู่แล้วข้าขอครองครองตัวนางก่อนที่จะหาไม่ก็เพียงพอแล้ว”
คชสีห์ :                   “ท่านพญานาค หากทำเช่นนี้ก้อเท่ากับเปิดศึกกับข้าแล้ว ข้าคงยอมท่านมิได้อีกแล้ว”
พญานาค :              “ถ้าเช่นนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ท่าน!!!”
กินรี :                      “ท่านทั้งหลาย อย่าทำเช่นนี้เลย ข้ายินดีพลีชีพในครั้งนี้เอง ทำไมพวกท่านถึงเป็นอย่างนี้ ข้ายอมสละด้วยตัวข้าเองนะ ไม่ได้ต้องการให้พวกท่านมาแย่งชิงตัวข้า…”
กบิลปักษา :           “…!!!”

นาง เทพกินรีได้แต่นั่งโศกเศร้าเสียใจ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดสู้รบกันเพื่อแย่งชิงตัวนาง กลายเป็นสงครามที่ไม่อาจแก้ไขได้   ทันใดนั้นเอง กบิลปักษา ที่ไม่มีปากเสียงใดๆในการประชุมได้กล่าววาจา พร้อมกำมือกุมหัวใจไว้
กบิล ปักษา : “ข้ามีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์”
กินรี:                       “เจ้ากบิลปักษา…”

กบิลปักษาโผบินขึ้นไปในนภา ใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่า
กบิล ปักษา :           “แม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ”
พญานาค:               “!!!”

เมื่อ กล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี
กบิลปักษา :           “…”
กินรี :                      “เจ้าช่างเป็นผู้กล้าหาญ ข้าขอขอบคุณเจ้านะ ความรักที่เจ้ามีให้กับข้ามันช่างดูใหญ่ยิ่งนัก”

ส่วน ระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน


ที่มา :  http://asakuramikki.wordpress.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS